อย่าเอาวิธีทำลายล้างทางการเมืองมาทำลายคณะสงฆ์



@อย่าเอาวิธีทำลายล้างทางการเมืองมาทำลายคณะสงฆ์@

>> สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2468 ปัจจุบันอายุ 91 ปี บวชมาแล้ว 77 ปี สำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม 9 ประโยค เป็นผู้เชี่ยวชาญพระไตรปิฎก เคยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์ไทยไปร่วมสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 6 ที่ประเทศพม่าตั้งแต่มีอายุได้ 30 ปี เมื่อปีพ.ศ. 2498

>>เจ้าประคุณสมเด็จฯ มีปกติเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน แม้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชแล้ว เมื่อพบกับพระภิกษุที่มีพรรษามากกว่าก็จะเคารพกราบไหว้
>>เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นผู้มีเมตตาสูงต่อชนทุกชั้น พบง่าย ประชาชนทุกคนสามารถไปพบท่านได้ทุกวันที่อาคารประชาสัมพันธ์ วัดปากน้ำ ท่านจะนั่งที่พื้นสนทนาธรรมกับญาติโยมอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว ใครจะนิมนต์ท่านไปทำบุญบ้าน จะพาลูกมาบวชพระ ฯลฯ ท่านจะเปิดสมุดนัดดู ถ้ายังว่างก็จะรับนิมนต์โดยไม่เลือกฐานะยากดีมีจนเลย
>>เจ้าประคุณสมเด็จฯ ลงนำพระภิกษุสามเณรสวดมนต์ทำวัตรนั่งสมาธิ ให้โอวาทพระภิกษุ ลงรับสังฆทานด้วยตนเองทุกวันมาตลอดกว่า 50 ปี
>>ด้วยวัตรปฏิบัติที่งดงามของเจ้าประคุณสมเด็จฯ และบารมีของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ทำให้มีประชาชนมาจองเป็นประธานกฐินล่วงหน้าของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เต็มไปจนถึงปี พ.ศ.3096 จองล่วงหน้าไปกว่า 500 ปี เป็นอัศจรรย์วัดเดียวในโลก
วัดใดที่ทำงานพระศาสนาแล้วติดขัดด้วยงบประมาณ เมื่อมาหาเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านก็จะเมตตาให้ความช่วยเหลือเป็นปกติ จนเป็นที่รับรู้กันทั่วสังฆมณฑล
>>แม้สมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราชก็เคยทรงมอบหมายให้ท่านช่วยจัดหาทุนสร้างมหาวิหารพระไตรปิฎกหินอ่อน ที่พุทธมณฑล เมื่อปี 2532 มูลค่า 200 ล้านบาท
>>สร้างหอสมุดพระพุทธศาสนา มหาสิรินาถ ที่พุทธมณฑล ในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงพระชนมพรรษา 60 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2535 มูลค่า 200 ล้านบาท
>>สร้างอาคารหอสมุดและเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้แก่มหาวิทยาลัยสงฆ์ มจร.ที่วังน้อย มูลค่า 75 ล้านบาท
สร้างเจดีย์มหารัชมงคล ที่วัดปากน้ำ ความสูง 80 เมตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชวโรกาสพระชนมพรรษา 80 พรรษา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2550 มูลค่า 300 ล้านบาท
>>และยังบริจาคสาธารณกุศลอื่นอีกมากมาย รวมมูลค่ากว่าพันล้านบาท
>>เจ้าประคุณสมเด็จฯได้รับอาราธนาไปแสดงธรรมในพระบรมมหาราชวัง ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์มาแล้วร่วมร้อยครั้ง
>>ด้วยศีลาจารวัตรที่งดงาม คุณูปการมากมายที่มีต่อพระพุทธศาสนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงสถาปนาท่านขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2538
>>เมื่อสมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์ ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง มหาเถรสมาคมจึงได้ประชุมเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559 มีมติเป็นเอกฉันท์เสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ขึ้นทูลเกล้า เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
>>ในระหว่างนี้เอง ได้มีกลุ่มบุคคลที่เคยเป็นแกนนำเคลื่อนไหวทางการเมือง สร้างความแตกแยกร้าวฉานในสังคมไทยอย่างลึกซึ้งจนถึงปัจจุบัน ได้ออกมาเคลื่อนไหวแทรกแซงกระบวนการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชของคณะสงฆ์ ใช้วิธีการทางการเมืองที่สกปรก สร้างประเด็นโจมตีให้ร้ายคณะสงฆ์และเจ้าประคุณสมเด็จฯอย่างหนักหน่วง

>>วิญญูชนพิจารณาแล้วก็จะเห็นชัดเจนว่า ข้อกล่าวหาเหล่านั้นไร้สาระโดยสิ้นเชิง อาทิ
1.โจมตีว่ามหาเถรสมาคมแอบประชุมลับ ไม่โปร่งใส ทั้งที่ความจริงการประชุมของมหาเถรสมาคมในการเสนอชื่อสมเด็จพระสังฆราชนั้น มีขึ้นในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2559 ก่อนหน้าที่กลุ่มแกนนำทางการเมืองจะไปยื่นเรื่องคัดค้านที่ สนช.
>>การประชุมมส.ในวันนั้น เจ้าประคุณสมเด็จพระมหามังคลาจารย์ไม่เข้าประชุมเพราะถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ผู้ที่เสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็นสมเด็จพระสังฆราชต่อที่ประชุมก็คือ สมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศ เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติ และกรรมการ มส.ทุกรูปมีมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์
2. มีการนำเสนอข่าวว่าสมเด็จฯวัดสัมพันธวงศ์ และสมเด็จฯวัดสุทัศน์ไม่เข้าประชุม เพื่อให้สังคมรู้สึกว่า มีสมเด็จรูปอื่นๆไม่เห็นด้วย ทั้งที่ความจริงเจ้าประคุณสมเด็จฯทั้ง 2 รูป อาพาธเดินไม่ได้ ไม่ได้เข้าประชุม มส.มาหลายปีแล้ว กรรมการ มส.ท่านอื่นๆที่เหลือเข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติกนิกาย
3. ประโคมข่าวว่าจะแจ้งความดำเนินคดีมหาเถรสมาคมในข้อหาผิดมาตรา 157 เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะไม่จัดการกับพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ธัมมชโย ภิกขุ) ตามพระลิขิตพระสังฆราช โดยตั้งใจจะข่มขู่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ และกรรมการ มส.รูปอื่นๆ
>>โครงสร้างของมหาเถรสมาคมนั้นประกอบด้วยสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธานกรรมการ สมเด็จพระราชาคณะ ฝ่ายมหานิกาย และฝ่ายธรรมยุติ ฝ่ายละ 4 รูป รวม 8 รูป พระราชาคณะจากทั้ง 2 นิกายที่สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งอีก 12 รูป รวม 21 รูป สมเด็จพระสังฆราชทรงมีอำนาจเด็ดขาดในการแต่งตั้งและถอดถอนกรรมการมหาเถรสมาคม สมเด็จพระสังฆราชจึงสามารถบังคับบัญชามหาเถรสมาคมได้อย่างเต็มที่ อย่างกรณีสมเด็จพระญาณสังวรฯนั้น มีกรรมการ มส. ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งเอง 12 รูป สมเด็จพระราชาคณะฝ่ายธรรมยุติ ซึ่งพระองค์ทรงเป็นเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติอยู่ด้วยอีก 4 รูป รวมพระองค์เองเป็น 17 รูปจาก 21 รูป
เหตุเรื่องนี้เกิดเมื่อ พ.ศ.2542 ซึ่งขณะนั้นสมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคม
หากจะมีผู้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับมหาเถรสมาคมแล้ว ก็เท่ากับแจ้งความดำเนินคดีกับสมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราชนั่นเอง ทั้งที่พระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ถวายพระเพลิง เก็บอัฐิไปแล้ว ก็ยังโหดร้ายถึงขนาดจะไปขุดอัฐิของพระองค์ขึ้นมาดำเนินคดีอีก ด้วยข้อหาไม่ทำตามพระลิขิตของตนเอง เป็นเรื่องแปลก
4. สร้างวาทกรรมว่าครอบครองรถหรูที่ไม่ได้เสียภาษี ความจริงคือ มีผู้นำรถโบราณที่เก่าจนวิ่งบนถนนไม่ได้แล้วมาถวาย เจ้าประคุณสมเด็จฯจึงให้นำไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนที่สนใจมาศึกษาลักษณะรถโบราณ ท่านไม่ได้ครอบครองไว้เป็นของส่วนตัว เจ้าประคุณสมเด็จมีความเป็นอยู่ส่วนตัวที่สมถะเรียบง่าย ใกล้ชิดประชาชน เป็นที่รักของทุกคน
5. ใส่ร้ายป้ายสีว่าสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์รับรถเบนซ์และปัจจัย 5 ล้านบาทในวันเกิดทุกปีจากพระเทพญาณมหามุนี (ธัมมชโย ภิกขุ)
คนมีสติปัญญาฟังแล้วจะรู้ทันทีว่าเป็นเรื่องเท็จ เพราะเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านบริจาคเงินเพื่องานสาธารณกุศลเป็นพันๆล้านบาท และตัวท่านเองก็อายุ 91 ปีแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมา
รับสินบนเพียงเล็กน้อยเหล่านี้ให้ตนมัวหมอง
6. วัดพระธรรมกายติดสินบนโดยเอารูปหล่อหลวงพ่อวัดปากน้ำทองคำ น้ำหนัก 1 ตัน มาถวายให้วัดปากน้ำ
วัดพระธรรมกายหล่อหลวงพ่อวัดปากน้ำทองคำทั้งหมด 8 องค์ ได้ถวายแด่วัดต่างๆที่หลวงพ่อวัดปากน้ำเคยทำกิจสำคัญในชีวิตของท่านโดยไม่เลือกว่าจะเป็นวัดเล็กหรือวัดใหญ่ และไปช่วยสร้างโบสถ์ ศาลา วิหาร เพื่อเป็นที่ประดิษฐานแก่วัดเหล่านั้นด้วย เช่น วัดสองพี่น้อง ซึ่งเป็นวัดที่หลวงพ่อวัดปากน้ำบวช วัดโบสถ์บน วัดบางปลา รวมถึงวัดปากน้ำซึ่งเป็นที่ๆหลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นเจ้าอาวาสเผยแผ่ธรรม จนตลอดอายุขัยของท่าน
เจ้าประคุณสมเด็จฯท่านทำแต่คุณงามความดี เป็นปูชนียะที่พระภิกษุมหานิกายทั่วประเทศให้ความเคารพอย่างสูง พระมหาเถระฝ่ายธรรมยุติในมหาเถรสมาคมก็ให้การยอมรับทั้งสิ้น แม้คณะสงฆ์ในต่างประเทศก็ให้การยกย่องอย่างสูง ได้รับสมณศักดิ์จากคณะสงฆ์ทั้งศรีลังกา เมียนม่าร์ บังคลาเทศ
>>การสร้างเรื่อง ใช้วิธีการทำลายล้างทางการเมืองใส่ร้ายป้ายสีพระมหาเถระอายุ 91 ปี ผู้บวชมาแล้ว 77 พรรษา ทำแต่ความดีมาตลอดชีวิต เป็นความชั่วร้ายมาก และจะนำความแตกแยกมาสู่การคณะสงฆ์ เป็นการกระทำสังฆเภท ซึ่งเป็นอนันตริยกรรมที่บาปหนักที่สุด บาปยิ่งกว่าฆ่าพ่อฆ่าแม่ จะสร้างความแตกแยกในสังคมไทยอย่างลึกซึ้งจนถึงแก่น และจะไม่เหลือสถาบันใดๆในสังคมให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยอีกเลย
>>ขอให้สื่อและชาวไทยทุกคนตื่นรู้ อย่าให้กลุ่มคนเหล่านี้ใช้เป็นเครื่องมือทำลายการคณะสงฆ์อีกต่อไป
>>สมเด็จพระสังฆราชเป็นตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ ไม่ได้ปกครองฆราวาส ให้เป็นเรื่องของคณะสงฆ์ดำเนินการตามกฎหมายและพระธรรมวินัยเถิด>>

ที่มา fage facebook พุทธสามัคคี
อย่าเอาวิธีทำลายล้างทางการเมืองมาทำลายคณะสงฆ์ อย่าเอาวิธีทำลายล้างทางการเมืองมาทำลายคณะสงฆ์ Reviewed by Unknown on 18:51:00 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

Sponsor

ขับเคลื่อนโดย Blogger.