ความแตกต่างกรณีอดีตพระยันตระ
ความแตกต่างกรณีอดีตพระยันตระ
จากกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 21 (พ.ศ.2538)
ข้อ 4. ในกรณีที่มีการฟ้องว่าพระภิกษุรูปใดกระทาความผิดอันเป็นครุกาบัติ
เมื่อคณะผู้พิจารณาชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ.๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรมแล้ว
-มีคาสั่งประทับฟ้องเพื่อดาเนินการพิจารณาวินิจฉัยต่อไปก็ดี
-คณะผู้พิจารณาชั้นต้นวินิจฉัยแล้ว ไม่ว่าจะลงนิคหกรรมหรือไม่ก็ตามและเรื่องยังอยู่ภายในกาหนดเวลาอุทธรณ์ก็ดี
หรือ
-มีการอุทธรณ์ภายในกาหนดเวลาแล้ว ไม่ว่าคณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์จะมีคาสั่งหรือวินิจฉัยอย่างไรก็ดี
ให้คณะผู้พิจารณาชั้นต้นหรือคณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี รายงานข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพระธรรมวินัยที่เกี่ยวข้องต่อมหาเถรสมาคม
ในกรณีที่การพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมอยู่ในชั้นฎีกา กรรมการมหาเถรสมาคมรูปใดรูปหนึ่ง อาจรายงานต่อมหาเถรสมาคมเพื่อให้ดาเนินการตามข้อนี้นอกเหนือจากการพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมก็ได้
ในกรณีที่มหาเถรสมาคมพิจารณาจากรายงานดังกล่าวและพยานหลักฐานอื่นประกอบกันแล้ว เห็นว่าพระภิกษุผู้เป็นจำเลย ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเรื่องเดียวกันหรือหลายเรื่อง
อันเป็นโลกวัชชะเป็นอาจิณ ทั้งความประพฤตินั้นเมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์ที่ล่วงมาแล้ว
หากให้ดำรงเพศบรรพชิตต่อไปจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่พระศาสนา และการปกครองของคณะสงฆ์
มหาเถรสมาคมมีอานาจวินิจฉัยให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศได้ ทั้งนี้ไม่กระทบต่อการพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมที่กาลังดาเนินการอยู่
ไม่ว่าในชั้นใดๆ
.........................................................
จากหลักดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าไม่สามารถนำกฎ มส.ฉบับที่ 21 ข้อ 4. มาใช้กับกรณีของพระราชภาวนาวิสุทธิ์(หลวงพ่อธัมมชโย) เพราะ
1. การที่จะใช้กฎมส.ฉบับที่
21 ข้อ 4. ได้นั้น จะต้อง เป็นเรื่องที่มีการฟ้องนิคหกรรม และนิคหกรรมนั้นยังไม่ถึงที่สุด คือยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของทางคณะผู้พิจารณาชั้นต้น
หรือชั้นอุทธรณ์ หรือชั้นฎีกา
แต่ กรณีของหลวงพ่อธัมมชโยนั้น ไม่สามารถนำกฎมส.ฉบับที่ 21 ข้อ 4. มาใช้ได้ เนื่องจากนิคหกรรมได้ถึงที่สุดไปแล้ว รายละเอียดปรากฏตามมติมส.เมื่อคราวประชุมวันที่
10 กุมภาพันธ์ 2559
2. การที่จะใช้กฎมส.ฉบับที่ 21 ข้อ 4. ได้นั้น จะต้องใช้กับพระภิกษุผู้ตกเป็นจำเลยแล้ว
แต่กรณีของหลวงพ่อธัมมชโยนั้นยังเป็นแค่ผู้ถูกกล่าวหา ยังไม่ได้เป็นจำเลย
ส่วนคณะผู้พิจารณาชั้นต้นก็ดี มหาเถรสมาคมก็ดี ไม่เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะ
ในขณะที่เรื่องนิคหกรรมของหลวงพ่อธัมมชโยยังอยู่ในชั้นของคณะผู้พิจารณาชั้นต้นนั้น
ยังไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่คณะผู้พิจารณาชั้นต้นจะต้องทำรายงานข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพระธรรมวินัยที่เกี่ยวข้องต่อมหาเถรสมาคม
แต่อย่างใด
เพราะการที่คณะผู้พิจารณาชั้นต้นจะต้องรายงาน จะต้องเป็นเรื่องที่ มีการประทับฟ้อง
หรือผ่านการวินิจฉัยของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น หรือมีการอุทธรณ์ หรือฎีกา
แต่ กรณีนิคหกรรมของหลวงพ่อธัมมชโยยังไม่มีการประทับฟ้อง ยังไม่ผ่านการวินิจฉัยของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น
และไม่อยู่ในระหว่างอุทธรณ์ ฎีกา แต่อย่างใด ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นให้คณะผู้พิจารณาชั้นต้นต้องรายงานมส. มส.จึงไม่ต้องมาพิจารณารายงาน และพยานหลักฐานอื่นประกอบ
ตามวรรคสามของข้อ 4. ข้างต้น แต่อย่างใด จึงไม่อาจจะกล่าวหาคณะผู้พิจารณาชั้นต้น
หรือมส.ว่ามีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้
ส่วนกรณีของอดีตพระยันตระ นั้น
ได้มีการกล่าวหานิคหกรรมพระยันตระ และพระยันตระอยู่ในฐานะจำเลยแล้ว
และขณะที่เรื่องยังอยู่ในระหว่างการพิจารณานิคหกรรมนั้น มหาเถรสมาคมได้ใช้อำนาจตามกฎ
มส.ฉบับที่ 21 ข้อ 4. พิจารณาวินิจฉัยให้พระยันตระสละสมณเพศก่อน
ความแตกต่างกรณีอดีตพระยันตระ
Reviewed by Unknown
on
06:51:00
Rating:
หลวงพ่อธัมมชโยแตกต่างกรณีอดีดพระยันต์ตะ เพราะคดีก็จบแล้ว คุณไพบูลย์เอาเวลาไปสงบสติ ทำประโยชน์ให้กับครอบครัว อย่าทำความหน้ารำครานให้สังคมพุทธ หยุดเทอด
ตอบลบ